เที่ยวญี่ปุ่นหน้าไหนดี


เที่ยวญี่ปุ่นหน้าไหนดี

ประเทศญี่ปุ่น เมื่อครั้งอดีตเคยแพ้สงคราม แต่ ณ ปัจจุบันนี้ประเทศญี่ปุ่น ได้ก้าวล้ำการพัฒนาประเทศไปอย่างมาก มีเศรษฐกิจดีจนอยู่ในระดับประเทศต้นๆ ในแถบเอเชีย อีกทั้งระบบคมนาคมขนส่งที่แสนสะดวกโดยรถไฟความเร็วสูง ระบบการจัดการขยะ ความมีระเบียบวินัยของประชากรญี่ปุ่นเอง ตลอดจนถึงวัฒนธรรม ต่างๆเหล่านี้เป็นเสน่าให้นักท่องเที่ยวต่างหลงใหล พากัน ท่องเที่ยวไปแล้วกลับ หลายช่วงเวลา ใน แต่ล่ะปี ประเทศญี่ปุ่น  มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายน่าเดินทางไปสัมผัสกัน อย่างเช่น ภูเขาไฟฟูจิ ที่มีหิมะปกคลุมอยู่ยอดเขา มองดูเสมือนเป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น  และยังมีอีกหลายสถานที่  เที่ยวญี่ปุ่นหน้าไหนดีนั้นไม่สำคัญเท่ากับเที่ยวแล้ว สนุกมั๊ย เที่ยวแล้ว ปลอดภัยมียเที่ยว แล้วประหยัด มั๊ย เป็นกันเอง เหมือนคุยเป็นครอบหนึ่งของเราขอเรียน เชิญทุกท่านสู่การเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยทีมงานมืออาชีพ

ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม)

ฤดูดอกไม้บาน เป็นช่วงเวลาที่คนญี่ปุ่นมักเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เป็นช่วงฤดูชมดอกซากุระหรือฮานามิ (Hanami)
เมืองแนะนำ

คุมะโมะโตะ (Kumamoto)

ไปชมดอกซากุระบานรอบๆ ปราสาทคุมะโมะโตะ (Kumamoto Castle) ปราสาทแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 ปราสาท ที่มีแนวรั้วกำแพงหินที่สวยที่สุดในประเทศ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีการแสดง งานแสงสีประกอบการเข้าชมซากุระยามค่ำคืนด้วย เป็นความสวยงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น  ภูเขาไฟอาโซะ (Mt. Aso) ที่สามารถเข้าไปชมถึงปากปล่องได้  ไปเยือนสวนสาธารณะเก่าแก่ขึ้นชื่อของเมือง ซุยเซนจิ (Suizenji Jojuen Garden) แวะพิพิธภัณฑ์ศิลปะประจำเมือง (Kumamoto Kenritsu Bujutsukan Art Museum) ชมภาพวาดโบราณตั้งแต่สมัยเอโดะ และงานศิลปะล้ำค่าต่างๆ จนไปถึงงานแสดงภาพของศิลปินระดับโลก เช่น Gauguin (โกแกง) Picasso (ปิกาสโซ่) Renoir (เรอนัวร์) Rembrandt (แรมแบรนด์ท) และหากไปเยือนคุมะโมะโตะแล้ว ก็อย่าพลาดชิมราเมนประจำเมือง และเนื้อม้าอันโด่งดัง ตัวเลือกหลังนี้คงถูกใจนักเปิปพิสดารคนไทยอย่างแน่นอน

นาโงย่า (Nagoya)

เป็นเมืองบ้านเกิดของรถยนต์ยอดฮิต โตโยต้า (Toyota Motors) เยือนพิพิธภัณฑ์ของโตโยต้า (Toyota Commemorative Museum of Industry and Technology)  เที่ยวช้อปปิ้งย่านธุรกิจของเมือง ซากาเอะ (Sakae) และไปเยือน นาโงย่า ทีวี ทาวเวอร์ (Nogoya TV Tower) ต้นแบบของโตเกียว ทาวเวอร์ (Tokyo Tower) ชมปราสาทเก่านาโงย่า (Nagoya Castle) วัดโบราณ โอสุ คันนัน (Osu Kannon Temple) พิพิธภัณฑ์วิทยาศาตร์แห่งนาโงย่า (Nagoya City Science Museum) สำหรับคนรักธรรมชาติก็พลาดไม่ได้กับการไปชมซากุระบาน ณ สวนผลไม้ โทโงขุชัง (Togokusan) ซึ่งมีต้น "ชิดาเระ ซากุระ" (shidare-zakura) อยู่ถึง 1,000 ต้น ชิดาเระ ซากุระ เป็นต้นซากุระที่กิ่งจะโน้มลงมาสู่พื้น ยามดอกบานเต็มต้น จะดูเหมือนม่านน้ำตกดอกซากุระ ถือว่าเป็นประเภทของซากุระที่มีความสวยงามมากที่สุด และในเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดงานเทศกาลชมดอกชิดาเระ ซากุระและชมต้นผลไม้นานาชนิด ท้ายสุดสำหรับคนรักปลาไหลญี่ปุ่นก็ต้องไปชิมกินข้าวหน้าปลาไหล ฮิทสุมาบาชิ (Hitsumabushi) ร้านดังเจ้าแรกของนาโงย่า ร้าน โฮะไรเคน (Horaiken) ชั้น10 ตึก มัทสึซากายะ ฝั่งทิศใต้ (Matsuzakaya South)

ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม)

ฤดูแห่งเสียงแมลงและสีเขียวสดของใบไม้ใบหญ้า เที่ยวงานรำวงบงโอโดริ (Bon Odori) ชมสาวๆ ในชุดยูกาตะ เทศกาลดอกไม้ไฟที่ตระการตา
เมืองแนะนำ

มัทซึมาเอะ (Matsumae)


มัทซึมาเอะได้สมญานามว่า เป็นเกียวโตน้อยแห่งภาคเหนือ เพราะเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของซามูไรในภูมิภาคนี้ และหากพลาดการชมซากุระในเขตอื่น ก็ยังสามารถมาเก็บตกชมซากุระหน้าร้อนในเขตปราสาทมัทซึมาเอะ (Matsumae Castle) ได้ ซึ่งในบริเวณนี้มีการปลูกต้นซากุระไว้ถึง 10000 ต้น นอกจากนี้ก็ยังมีเทศกาลนักรบซามูไรแห่งมัทซึมาเอะ “โจคะ-มัทซูริ เฟสติวัล” (Joka-Matsuri Festival-Samurai Warrior Festival) โดยผู้เข้าร่วมขบวนพาเหรดจะแต่งกายในชุดซามูไร ส่วนคนรักงานศิลปะก็น่าจะไปเยือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะชิมาเนะ (Shimane Arts Museum) และแวะไหว้ขอพรพระที่วัดเจโชจิ (Gesshoji Temple)

โอโฮทสึคุ (Ohotsuku)

นอกจากจะได้ชมชิบะซากุระ ซึ่งเป็นต้นหญ้า (Pink Moss) ที่มีสีชมพูเหมือนดอกซากุระในช่วงหน้าร้อนแล้ว ยังจะได้ชมดอกทิวลิปบาน ณ สวนดอกทิวลิปอันโด่งดัง คามิยุเบทสึ ทิวลิป พาร์ค (Kamiyubetsu Tulip Park) ที่ปลูกดอกทิวลิปสารพัดสีไว้ร่วม 120 สายพันธุ์ จำนวนกว่า 1,200,000 ต้น ซึ่งในช่วงเข้าฤดูร้อน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี จะมีเทศกาลดอกทิวลิปในสวนแห่งนี้ ถือเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งบนเกาะฮอกไกโดเลยทีเดียว นอกจากชมธรรมชาติแล้ว เมืองนี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ขึ้นชื่อ อันได้แก่ พิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริ (Abashiri Prisons Museum) และพิพิธภัณฑ์ธารน้ำแข็งโอโฮทสึคุ ริวเฮียว (Ryuhyo Museum)

ฟุราโนะ (Furano)

เมืองดังแห่งการชมทุ่งดอกไม้บาน นั่งขบวนรถไฟพิเศษแห่งฤดูร้อน โนโรโกะโก (Norokko-go) ไปชมดอกไม้ที่ฟาร์มโทมิตะ (Tomita Farm) ชมทุ่งลาเวนเดอร์อันเลื่องลือ สวนดอกไม้สีรุ้ง ฟาร์มดอกป็อปปี้และแมรี่โกลด์ รวมไปถึงดอกไม้นานาพันธุ์อื่นๆ ในสวนสวย ช้อปปิ้งของที่ระลึกจากร้านค้าท้องถิ่นน่ารักๆ แวะชิมไอศกรีมรสลาเวนเดอร์ชื่อดังของเมือง และนอกจากจะโด่งดังเรื่องทุ่งดอกไม้งามแล้ว ฟุราโนะ ยังเป็นเมืองแห่งโรงงานผลิตชีสขึ้นชื่อ โดยเฉพาะชีสดำที่ทำมาจากหมึกของปลาหมึก (Black Cheese)

ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน)

ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวพืชผล ชมความสวยงามจากสีเหลืองสู่สีแดงของใบโอจิหรือแป๊ะก้วย และสีสันของธรรมชาติก่อนลมหนาวมาเยือน

เซนได (Sendai)


หลังจากฟื้นตัวจากสึนามิปี 2554 แล้ว เมืองนี้ก็กลับมาอยู่ในลิสต์เมืองท่องเที่ยวสำคัญอีกครั้ง เป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ และยังขึ้นชื่อเรื่องน้ำพุร้อน ออนเซ็น ท่ามกลางหุบเขาและชมอ่าวมัตสุชิมา (Matsushima Bay) อันประกอบไปด้วยเกาะ 260 เกาะ ติดอันดับ 1 ใน 3 อ่าวที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น ชมน้ำตกอะกิอุโอะทะกิ (Akiu Otaki Falls) ที่มีสายน้ำกว้าง 6 เมตร และทิวทัศน์อันสวยงามในฤดูใบไม้ร่วง ของต้นเมเปิลและโอจิรอบๆ  น้ำตก เที่ยวชมสุสานผู้สร้างเมือง (Zuihoden Mausoleum) ปราสาทเซนได (Sendai Castle) ศาลเจ้าโอซากิ ฮะจิมังกุ (Osaki Hachimangu Shrine) แวะกราบไหว้เทวรูปเจ้าแม่กวนอิม (Sendai Daikannon) สุดท้ายแวะช้อปปิ้งในเขตร้านค้าดัง อายุเกือบ 200 ปี ฟุจิซากิ (Fujisaki) เลือกซื้อสินค้าหัตถกรรม งานแกะสลักไม้อันลือชื่อ ตุ๊กตาโคเคชิและตู้ไม้เซนได

นิกโก้ (Nikko)

ไปเยือนเมืองแห่งมรดกโลก เช่น วัดแรกแห่งมรดกโลก วัดรินโนจิ (Rinnoji) และศาลเจ้านิกโก้โทโชงู (Toshogu Shrine) ไปสักการะอนุสาวรีย์โชกุน (Lemitsu Tokugawa) ที่วัดอิเอะมิตสุ ไทยูอิน (Lemetsu Taiyuin Temple) และสุสานโชกุนอิเอะยาสุ (Leyasu’s Graveyard) พักถ่ายรูปที่สะพานชินเคียว (Shinkyo Sacred Bridge) อันงดงามที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำไดยะ (Daiya River) และพลาดไม่ได้กับการเดินทางไปชมเส้นทางใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในภูมิภาค ณ ถนนอิโรฮะซะกะ (Irohazaka) ปิดท้ายด้วยการไปชมน้ำตกริวซุ (Ryuzu Falls) ฉายาน้ำตกหัวมังกรแดง ที่ได้มาจากการที่ใบไม้สีส้มและแดงในช่วงฤดูนี้ร่วงหล่นสู่ธารน้ำตกแฝดรูปทรงคล้ายหัวมังกร ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบจูเซ็นจิโกะ (Lake Chuzenji)

โออิตะ (Oita)

อีกเมืองแห่งอาหารทะเลสด ชิมปลาซาบะย่างอันลือชื่อ เป็นเมืองแห่งน้ำพุร้อนที่มีมากกว่า 30 บ่อที่เปิดให้ใช้บริการทั่วไป เที่ยวน้ำพุร้อนเบพพุ (Beppu) กับทัวร์นรก (Hell Tour) 8 บ่อ ซึ่งเป็นบ่อน้ำร้อนสีสันแปลกตาต่างๆ กัน บางบ่อสีแดงเดือด บางบ่อสีเงินสะท้อนแดด เป็นต้น ไปเยือนทะเลสาบคิรินโกะ(Kirinko) ชมบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีรอบๆ ทะเลสาบ ชมการแสดงของปลาโลมาน่ารักที่สวนน้ำ โออิตะ มารีน พาเลซ (Oita Marine Palace) และไปเยือนเมืองน่ารักยูฟูอิน (Yufuin) และพลาดไม่ได้กับเมืองยุโรปจำลองที่หมู่บ้านดอกไม้ยูฟูอิน (Yufuin Floral Village)

ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)

เที่ยวฤดูหนาว กับเทศกาลหิมะ การเล่นสกีและการแกะสลักน้ำแข็งทางภาคเหนือของญี่ปุ่นและการประดับประดา ไฟอย่างสวยงาม
เมืองแนะนำ

ฮากุบะ มุระ (Hakuba – mura)

เทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น ภูเขาฮากุบะ (Hakuba) เป็นแหล่งสกีลือชื่อระดับประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาบน้ำแร่ แช่น้ำพุร้อน-ออนเซ็น ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง ตบท้ายวันด้วยมื้อค่ำแสนอร่อยจากร้านอาหารนานาชาติ คาเฟ่ และผับมากมาย เป็นเมืองท่องเที่ยวฤดูหนาวชื่อดัง

ซัปโปโร/ ซัปโปะโระ (Sapporo)


เมืองดังแห่งอาหารอร่อยและราเมนชื่อดังที่อร่อยล้ำจนใครไปใครมาต้องลอง ชิมอาหารทะเลสดและซูชิบนถนนสายซูชิชื่อดัง  แวะโรงงานช็อกโกแลตอิชิยะ (Ishiya Chocolate Factory) แหล่งผลิตคุกกี้สอดไส้ไวท์ช็อกโกแลตหรือ “ความรักสีขาว-ชิโฮริ โคบิโตะ” (Shiroi Koibito) ของฝากขึ้นชื่อของเมือง แวะชมสวนสาธารณะเกาะกลางถนน สวนโอโดริ (Odori Park) เยือนสัญลักษณ์แห่งเมือง หอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Tokeidai) พิพิพิธภัณฑ์เบียร์ ชื่อดัง ซัปโปโร เบียร์ มิวเซียม (Sapporo Beer Museum) เยี่ยมชมสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ และสนามกีฬาอันลือชื่อของประเทศ นอกจากนี้ซัปโปโรยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวหน้าหนาวอันขึ้นชื่อ พลาดไม่ได้กับเทศกาลหิมะแห่งซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) ชมประติมากรรมน้ำแข็งและหิมะแกะสลัก และงานแสดงการประดับไฟฤดูหนาวของเมืองซัปโปโร (Sapporo Light Illumination) ที่เริ่มต้นจัดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524)

เมืองในญี่ปุ่นที่น่าเที่ยว

1.  โตเกียว (Tokyo)

จุดหมายยอดฮิตของประเทศญี่ปุ่น เมืองนี้ได้ฉายาว่า “อีสต์ มีท เวสต์” (East meets West) หมายถึง การมาบรรจบกันของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก เพราะนอกจากคุณจะได้ชมบ้านเมืองที่ยังคงด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว คุณก็ยังจะได้สัมผัสเทคโนโลยีล่าสุดของโลก และแฟชั่นแบบตะวันตกในสไตล์ญี่ปุ่น ฮาราจุกุในโตเกียวก็เปรียบได้กับ ถนนเมดิสันแห่งมหานครนิวยอร์ค (Madison Avenue, New York) นั่นเอง
2.  เกียวโต (Kyoto)

เมืองยอดฮิตอีกแห่งของแดนซากุระ สำหรับคนที่ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น ทั้งวัดโบราณที่ทำให้คุณเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบพันปีก่อนในย่างก้าวแรกที่เดินเข้าไป และเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจหากคุณจะเดินสวนกับเกอิชาในชุดกิโมโนบนถนนใจกลางเมือง และการเข้าร่วมพิธีชงชาญี่ปุ่นแบบโบราณ ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพลาดสำหรับการไปเยือนเกียวโต

3.  โอซาก้า (Osaka)

เมืองที่ใหญ่อันดับสองของประเทศ นอกจากจะเป็นเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศแล้ว ยังขึ้นชื่อด้านอาหารในราคาย่อมเยา เพราะไม่ว่าจะมุมไหนของเมือง คุณก็สามารถหาร้านอาหารรสชาติเป็นเลิศ แต่ราคาสบายกระเป๋าได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Kaiyukan) ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ยูนิเวิร์ลซัล สตูดิโอ (Universal Studio) แห่งญี่ปุ่น และสวนลอยน้ำ (Floating Garden Observatory)
4.  ฟุกุโอกะ (Fukuoka)

อีกเมืองหลักของมิตรรักนักชิมและคนรักอาหารทะเล นอกจากนี้ยังเป็นบ้านเกิดของบะหมี่ราเม็งอันลือชื่อของญี่ปุ่น ฉะนั้นรับรองว่าหากไปเยือนฟุกุโอกะ คุณจะไม่มีทางพลาดการชิมราเม็ง เพราะร้านบะหมี่ข้างทางถือเป็นร้านอาหารยอดนิยม ไม่ต่างจากรถขายไส้กรอกในอเมริกา หรือแผงขายส้มตำบ้านเรา นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีคุณภาพการใช้ชีวิตสูง ถึงกับได้ฉายาว่าเป็นเมืองที่รีเล็กซ์ (Relax) หรือเครียดน้อยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
5.  นารา (Nara)


เมืองนารา หรือเมืองแห่งกวาง ทุกหนแห่งที่คุณเดินทางไปเที่ยว คุณจะพบเห็นกลุ่มกวางอันเป็นมิตรกับผู้คน นอกจากนี้นารายังถือเป็นแหล่งกำเนิดของขนบธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น เมืองนารานี้มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น พระพุทธรูปไดบุทสึ (Daibutsuden) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดของโลก วัดโฮริวจิ (Horyu-ji Temple) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกับวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดเก่าแก่ที่สุดของเมือง 
6.  เฮียวโงะ (Hyogo)


เมืองเฮียวโงะตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเกียวโตและโอซาก้า เป็นที่ตั้งของปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ที่งดงามที่สุดของประเทศ จนยูเนสโก (UNESCO) มาขอจดทะเบียนเป็นมรดกโลก และถัดจากปราสาทก็เป็นสวนสาธารณะกว้างกว่า 33,000 ตรม. เป็นจุดชมดอกซากุระยอดนิยม จนถึงขั้นจัดเป็นงานประเพณีขึ้นทุกปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิชื่อว่า “เทศกาลชมดอกซะกุระยามราตรี” (Himeji Hana Akari Night View of Cherry Blossom Festival)
7.  คารุอิซาวะ มาชิ (Karuizawa – machi)

เมืองนี้จะเป็นสวรรค์ของคนรักป่าเขาลำเนาไพร ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน ภูเขา เมืองธรรมชาติแห่งนี้มีทุกอย่างสำหรับนักธรรมชาตินิยม แต่ไม่ต้องห่วงสำหรับคนที่อยากจะชมทั้งธรรมชาติและช้อปปิ้งในทริปเดียว เพราะเขตช้อปปิ้งคารุอิซาวะ กินซ่า (Karuizawa Ginza) ก็เป็นแหล่งจับจ่ายที่จะให้คุณเพลิดเพลินได้ตลอดวันเช่นกัน
8.  ฮากุบะ มุระ (Hakuba – mura)

เมืองเล็กๆ ในจังหวัดนากาโน่ (Nagano) นี้ อาจไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักสำหรับคนไทย แต่เป็นแหล่งสกีอันลือชื่อของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใจกลางภูเขาฮากุบะ (Hakuba) ซึ่งเปรียบได้กับเทือกเขาแอลป์ (Alps) ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาบน้ำแร่ แช่น้ำพุร้อน ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของประเทศด้วย